Internet University Of Thailand
FREE INTERNET UNIVERSITY
Home
1. วิชาภาษาอังกฤษ
2. วิชา I T
3. วิชา Computer
4. วิชาพุทธศาสตร์
5. วิชาของผู้ประกอบการ
6. วิชาโหราศาสตร์
7. วิชาหัตถศาสตร์
8. วิชาประวัติศาสตร์
9. วิชาภาษาไทย
10. วิชานักธรรม-บาลี
11. วิชาการเกษตร
12. E-commerce
13. วิชาการท่องเที่ยว
14. วิชาเศรษฐศาสตร์
15. วิชาคณิตศาสตร์
16. วิชานิติศาสตร์
17. วิชาสังคมศาสตร์
18. วิชาวิทยาศาสตร์
19. วิชารุกขศาสตร์
20. วิชาไสยศาสตร์
21.แพทย์ทางเลือก
แพทย์ทางเลือก
สํานักงานการแพทย์ทางเลือก
(http://www.thaicam.go.th)
การแพทย์ทางเลือกคืออะไร
คําว่า“ทางเลือก” เทียบกับ “ทางหลัก” จงเข้าใจว่า เป็นอีกทางหนึ่งที่นํามาให้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ ที่จะใช้ทางไหน ทางหลัก คือทางที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน ส่วน ทางเลือก เป็นทางใหม่ หรือ ทางอื่น ที่เป็นตัวที่จะเลือกใช้หากคนยอมรับและใช้กันมากก็จะกายเป็นทางหลักไปอีกเช่นกันความหมาย ของการแพทย์ทางเลือกนั้นขึ้นกับ เวลาและสถานที่ ในระยะเวลาแตกต่างกันความหมายก็แตกต่างกันเช่น ในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 4 ในสมัยนั้น มีหมอฝรั่งนําการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาใช้ในสยามประเทศเราเรียกการแพทย์แผนตะวันตกในตอนนั้นว่า "การแพทย์ทางเลือก" ในสถานที่ต่างกันจะมีความหมายแตกต่างกัน เช่น ในประเทศอินเดีย จะใช้การแพทย์แผนอินเดีย เป็นการแพทย์หลักของประเทศอินเดีย เช่น การแพทย์อายุรเวช ถือเป็นการแพทย์แผนปัจจุบัน ของอินเดีย ถูกต้องตามกฎหมายเพราะประชาชนทั้งประเทศยอมรับที่จะใช้เป็นหลัก ประเทศจีนมีการใช้การแพทย์แผนโบราณของจีน เป็นหลัก ก็ถือเป็นการแพทย์กระแสหลักของจีนเช่นเดียวกัน ในปี
2001 มีการประชุมกันของประเทศที่เป็นสมาชิกของ องค์การอนามัยโลก
WHO
ได้ให้คําจํากัดความของ
Complementary And Alternative Medicine
หรือ
CAM
ว่า “
The term CAM often refers to a broad set of health
-
care practices that are not part of a
country’s own tradition and are not integrated into the dominant health
-
care system.
Other terms sometimes used to describe these health
-
care practices include ‘natural medicine’ , ’non-conventional medicine’ and ‘holistic medicine
’.”
สําหรับในประเทศไทย นั้นการแพทย์ทางเลือก คือการแพทย์ที่ไม่ใช่ การแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านไทย
การแพทย์อื่น ๆ ที่เหลือถือเป็นการแพทย์ทางเลือกทั้งหมด
การแพทย์ทางเลือกคือ การรักษาพยาบาลอีกรูปแบบหนึ่ง แตกต่างไปจากการแพทย์แผน
ปัจจุบัน
(Conventional Medicine)
ซึ่งผู้ที่ให้การรักษา จะต้องสําเร็จการศึกษาวิชาชีพแพทย์ และได้รับใบประกอบโรคศิลปะ เป็นแพทย์ทั่วไป หรือแพทย์เฉพาะทาง
ส่วนแพทย์ทางเลือก เป็นวิทยาการผสมผสานให้ใกล้เคียงกับการดํารงชีวิตของมนุษย์ มิใช่การแพทย์ที่ให้การรักษาโดยใช้ยาแผนปัจจุบัน ผู้ให้การรักษา ไม่จําเป็นต้องจบวุฒิทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เป็นผู้ที่ผ่านการอบรมและได้รับการฝึกฝนจนเป็นที่ชํานาญในแต่ละสาขาการแพทย์ทางเลือก
(Aternative edicine)
หมายความว่า ศาสตร์เพื่อการวินิจฉัย รักษาและ
ป้องกันโรค นอกเหนือจากศาสตร์ การแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์พื้นบ้านไทย
การแพทย์ทางเลือก
(Alternative Medicine)
คือ การรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือสารเคมีใดๆ จะใช้น้ำาร้อน น้ำเย็น การนวด ผลไม้ อาหาร สมาธิ โยคะ การพูดคุย เป็นต้น สรุปได้ว่าการแพทย์ทางเลือก หมายความว่า ศาสตร์เพื่อการวินิจฉัย รักษาและป้องกันโรคนอกเหนือจากศาสตร์ การแพทย์แผนปัจจุบันประเภทของการแพทย์ทางเลือก การจําแนกการแพทย์แพทย์ทางเลือกนั้น
จําแนกได้หลายแบบ
-วิธีแรกการจําแนกตามการนําไปใช้มีดังนี้
1.Complementary Medicine
คือการแพทย์ทางเลือกที่นําไปใช้เสริมหรือใช้ร่วมกับการแพทย์แพทย์แผนปัจจุบัน
2.Alternative Medicine
คือการแพทย์ทางเลือกที่สามารถนําไปใช้ทดแทนการแพทย์แผน
ปัจจุบันได้โดยไม่ต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบัน
-วิธีการที่สอง การจําแนกตามกลุ่มของการแพทย์ทางเลือกหน่วยงานของ
National Center of Complementary And Alternative Medicine (NCCAM,2005)
ของสหรัฐอเมริกา ได้จําแนกออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้
1.Alternative Medical Systems
คือการแพทย์ทางเลือกที่มีวิธีการตรวจรักษาวินิจฉัยและการ
บําบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการทั้งด้านการให้ยา การใช้เครื่องมื่อมาช่วยในการบําบัดรักษาและหัตถการต่างๆ เช่น:-
-การแพทย์แผนโบราณของจีน
(Traditional Chinese Medicine)
-การแพทย์แบบอายุรเวช ของอินเดีย เป็นต้น
2.Mind-Body Interventions
คือวิธีการบําบัดรักษาแบบใช้กายและใจ เช่น การใช้สมาธิบําบัด โยคะ จี้กง เป็นต้น
3. Biologically Based Therapies
คือวิธีการบ าบัดรักษาโดยการใช้ สารชีวภาพ สารเคมีต่าง ๆ เช่น สมุนไพร วิตามิน
Chelation Therapy , Ozone Therapy
หรือแม้กระทั้งอาหารสุขภาพเป็นต้น
4.Manipulative and Body
-
Based Methods
คือวิธีการบําบัดรักษาโดยการใช้ หัตถการต่างๆ เช่น การนวด การดัด การจัดกระดูก
Osteopathy ,Chiropractic
เป็นต้น
5. Energy Therapies
คือวิธีการบําบัดรักษาที่ใช้ พลังงาน ในการบําบัดรักษา ที่สามารถวัดได้และไม่สามารถวัดได้ ในการบําบัดรักษาเช่น การสวดมนต์บําบัด การทำน้ำมนต์บำบัด พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล เรกิ โยเร เป็นต้น
ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก การให้ความหมายและความครอบคลุมของการแพทย์ทางเลือกในแง่ของศาสตร์เพื่อการวินิจฉัย รักษา และป้องกันโรค นอกเหนือจากศาสตร์ของการแพทย์ปัจจุบันนั้น กองการแพทย์
ทางเลือกกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขปี 2545
ได้จัดไว้เป็นศาสตร์ 3 กลุ่ม ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มศาสตร์หรือเทคนิคของศาสตร์เพื่อปรับสมดุลของธาตุและสารชีวภาพในร่างกายศาสตร์ในกลุ่มนี้มีมากมายได้แก่
1.1.สมุนไพรชนชาติต่างๆ
1.2.สูตรอาหารต่างๆ อาทิเช่น อาหารแมคโครไบโอติคส์
(Macrobiotics)
อาหารเจ อาหารมังสวิรัติและอาหารสูตรเฉพาะสําหรับผู้ป่วย
1.3.วิตามินบําบัด
(Megavitamin)
1.4.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
1.5.การล้างพิษ
(Detoxification)
1.6.สารชีวภาพอื่นๆเช่น โฮมีโอพาธี
(Homeopathy)
ไบโอ-โมเลคุลาบําบัด
(Bio-Molecular Therapy)
และการขับสารพิษ
(Chelation Therapy)
2.กลุ่มศาสตร์หรือเทคนิคของศาสตร์เพื่อปรับสมดุลของโครงสร้างร่างกายในส่วนของกระดูกและกล้ามเนื้อ ศาสตร์ในกลุ่มนี้มีมากมายได้แก่
2.1.การนวด ดัด และดึงในแบบของวัฒนธรรมต่างๆ
2.2.การจัดกระดูกแบบจีน
2.3.การแพทย์จัดกระดูก
(Chiropractic Medicine)
2.4.ดุลยภาพบําบัด
2.5.การออกกําลังกายแบบต่างๆเช่น โยคะ ชี่กง และไท้เก๊ก
2.6.วารีบําบัด
(Hydrotherapy)
3.กลุ่มศาสตร์หรือเทคนิคของศาสตร์เพื่อปรับสมดุลของพลังงานในร่างกายและความสัมพันธ์กาย
-จิตศาสตร์ในกลุ่มนี้มีมากมาย ได้แก่
3.1.สมาธิในแบบของวัฒนธรรมต่างๆ
3.2.การเสริมสร้างพลังในวัฒนธรรมต่างๆเช่น:- พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล พลังออร่า พลังปิรามิด โยเร โยคะ ไท้เก๊ก ชี่กง พลังจิต การสะกดจิต จินตภาพบําบัด และเวทย์มนต์ และน้ำมนต์บำบัด
3.3.การฝังเข็ม
(Acupuncture)
3.4.การกดจุด
(Reflexology)
3.5.ดนตรีบําบัด
(Music Therapy)
3.6.สุคนธบําบัด
(Aroma Therapy)
3.7.สนามแม่เหล็กบําบัด
(Magnetic Field Therapy)
แนวทางด าเนินงานด้านการแพทย์ทางเลือกของกระทรวงสาธารณสุขกองการแพทย์ทางเลือก
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
(Department for Development of Thai Traditional and Alternative Medicine:DTAM)
กําหนดแนวทางการดําเนินงานไว้ดังต่อไปนี้
1.การแพทย์แผนจีน
(Chinese Medicine)
การแพทย์แผนจีนหมายความว่าการกระทําต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจ การวินิจฉัย การบําบัดโรค การป้องกันโรคหรือการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายตามศาสตร์และความรู้แบบแพทย์แผนจีนที่
ถ่ายทอดและพัฒนาสืบต่อกันมาหรือตามการศึกษาจากสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในหลักสูตรไม่ต่ำกว่าห้าปีของประเทศนั้นและคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะให้การรับรอง ซึ่งประกอบด้วยการฝังเข็มและการออกกําลังกายเช่น ไท้เก๊กและชี่กง
2.การแพทย์ทางเลือกอื่นๆ เช่นการรักษาทางกายภาพ
(Physical Therapy)
ประกอบด้วย
2.1.การนวด
(Massage)
หมายถึงการจัดการกับเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่มเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษา
เช่น การนวดแบบไทย และการนวดแบบสวีเดน(นิยามการนวดโดยสมาคมการนวดของอเมริกัน)
2.2.การฝังเข็ม
(Acupuncture)
ที่ใช้ในผู้ปวดศีรษะไมเกรนและปวดศีรษะจากความเครียดถือเป็นทฤษฎีลมปราณฝังเข็มตําแหน่งจุดต่างๆ
(Acupoint)
2.3.การกดจุด
(Reflexology or Zone Therapy)
เป็นการนวดหรือใช้แรงกดบนฝ่าเท้าใช้เพื่อลดความเครียดและทําให้เกิดการผ่อนคลาย
2.4.การแพทย์จัดกระดูก
(Chiropractic Medicine)
ซึ่งมีหลักเกี่ยวกับการไหลเวียนของพลังชีวิต
กระดูกสันหลังปกป้องไขสันหลังไว้
3.วารีบําบัด
(Hydrotherapy)
3.1.วารีบําบัดภายนอก
(External Hydrotherapy):Bath and Douches)
3.2.วารีบําบัดภายใน
(Internal Hydrotherapy):Colonic Irrigation and Enemas
4.โภชนบําบัด ประกอบด้วย แมคครไบโอติคส์ อาหารเสริม และมังสวิรัติ
5.การบําบัดด้วยพืช
(Plant-based Therapy)
เช่น:-
Aroma Therapy
6.การบําบัดด้วยคลื่นและรังสี
(Wave and Radiation Therapy)
เช่น
Oregon Therapy,
Pyramid Therapy
และ
Manetic Therapy
7.การบําบัดทางจิตและวิญญาณ
(Mind and Spiritual Healing)
7.1.
Biofeedback
ฝึกฝนเพื่อคุมองค์ประกอบต่างๆของร่างกายที่ถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติตามความสมัครใจ
7.2.
Hypnosis
ภาวะที่จิตถูกสะกดเป็นภาวะของจิตสํานึกที่เปลี่ยนแปลงไปความสัมพันธ์ระหว่าง การทํางานของจิตสํานึกและจิตใต้สํานึกในระหว่างภาวะปกติและภาวะถูกสะกดจิตจะกลับกัน
7.3.
Mediation/Transcendental Mediation
มีลักษณะของการสร้างประสบการณ์เริ่มจากการผ่อนคลาย ปล่อยให้ความคิดในใจสงบลงท าให้ความคิดไปถึงระดับการคิดที่ละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น
7.4.
Psychodrama
มีพื้นฐานจากการที่คนเราต้องมีการเปลี่ยนบทบาทหน้าที่อยู่เสมอ
7.5.
Spiritual Healing
8.
Self Exercise
การออกกําลังกายประเภทต่างๆเช่น
Yoga, Tai Chi, and Dancing
หลักในการพิจารณาเลือกใช้การแพทย์ทางเลือกในการพิจารณาเลือกใช้การแพทย์ทางเลือกควรคํานึงถึงหลัก 4 ประการ คือ:-
1.ความน่าเชื่อถือ
(RATIONAL)
โดยดูจากที่ว่าวิธีการหรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกชนิดนั้นประเทศต้นกําเนิดให้การยอมรับหรือไม่ หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ใช้มาเป็นเวลานานแค่ไหน มีการบันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร
2.ความปลอดภัย
(SAFETY)
เป็นเรื่องสําคัญมากว่ามีผลกับสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร การเป็นพิษแบบเฉียบพลันมีหรือไม่ พิษแบบเรื้อรังมีเพียงไร อันตรายที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวมีหรือไม่หรือวิธีการ นั้นทําให้เกิดภยันอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เป็นต้น
3.การมีประสิทธิผล
(EFFICACY)
เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์หรือมีข้อพิสูจน์มาแล้ว ว่าสามารถใช้ได้จริง มีข้อมูลยืนยันได้ว่าใช้แล้วได้ผลซึ่งอาจต้องมีจํานวนมากพอหรือใช้มาเป็นเวลานานจนเป็นที่ยอมรับจากการศึกษาวิจัยหลากหลายวิธีการ เป็นต้น
4.ความคุ้มค่า
(Cost-Benefit-Effectiveness)
โดยเทียบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดด้วยวิธีนั้นๆคุ้มค่าสํา หรับผู้ปุวยนั้นๆ หรือไม่ในโรคที่ผู้ป่วยที่ต้องทนทุกข์ทรมาน โดยอาจเทียบกับเศรษฐฐานะของผู้ป่วยแต่ละคนเป็นต้น
สถานการณ์การแพทย์ทางเลือกในประเทศไทยจากรายงานสํารวจความต้องการและอัตราการใช้ประโยชน์จากการแพทย์ทางเลือก/การแพทย์แบบผสมผสานของประชาชนในภาพรวมของโลกพบว่า ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวที่สูงมาก ยกตัวอย่างเช่น จากรายงานของ ดร.
ไอเซนเบิร์กและคณะ (มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด) ทําการสํารวจการใช้ประโยชน์การแพทย์ทางเลือกของประชาชนชาวอเมริกันระหว่างปี 1990 และ 1997 พบว่าประชาชนใช้บริการการแพทย์ทางเลือกสูงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 47 (629 ล้านครั้ง) และเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้บริการการแพทย์แบบปฐมภูมิในปีเดียวกัน (386 ล้านครั้ง) นอกจากนี้ จากการศึกษาและเก็บรวบรวมสถิติการใช้ประโยชน์การแพทย์ทางเลือก/การแพทย์แบบผสมผสาน ของ
National Center for Complementary and Alternative Medicine (National Institution of Health)
ปี 2002
(ปีล่าสุด) ร่วมกับสํานักงานสถิติแห่งชาติของอเมริกา
(National Center for Health Statistics)
โดยสํารวจจากประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไปทั้งสิ้นจํานวน
31,044
คน พบว่า ปัจจุบันประชาชนชาวเมริกันประมาณร้อยละ 62 มีการใช้ประโยชน์จากการแพทย์ทางเลือก/การแพทย์แบบผสมผสาน ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (ดังแผนภูมิที่ 1.1)
และตัวเลขเพิ่มเป็นร้อยละ74.6 เมื่อถามว่าเคยมีการใช้ประโยชน์หรือไม่ และจากการสํารวจพบว่าประชากรที่ใช้ประโยชน์จากการรักษาในรูปแบบนี้เป็นประชากรที่มีการศึกษาสูง (ยกเว้น การสวดมนต์) โดยมีเหตุผลหลัก 5 ประการคือ:-
1.การแพทย์ทางเลือก
2.การแพทย์แบบผสมผสานจะช่วยให้การรักษาดีขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน (ร้อยละ 55) น่าสนใจที่จะลองดู (ร้อยละ 50)
3.การรักษาแบบแผนปัจจุบันใช้ไม่ได้ผล (ร้อยละ 28) แพทย์แผนปัจจุบันแนะนําให้ทดลองใช้ (ร้อยละ 26) และยาแผนปัจจุบันราคาแพงเกินไป (ร้อยละ 13) จากแนวโน้มดังกล่าวนี้เอง ส่งผลกระทบให้เกิดความตื่นตัวและมีการจัดระบบองค์ความรู้ในเรื่องการแพทย์ทางเลือก
4.การแพทย์แบบผสมผสานอย่างเอาจริงเอาจังในต่างประเทศตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา รวมทั้งองค์การกนามัยโลกเองก็ตระหนักเห็นถึงความสํา คัญดังกล่าว จึงมีการกําหนดยุทธศาสตร์ทางด้านนี้ออกมาในแผนปี
2002–2005
ว่า จะช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ในการ กําหนดนโยบายระดับชาติเพื่อประเมินและควบคุมการใช้ประโยชน์จากการแพทย์ทางเลือก
5.การแพทย์แบบผสมผสาน ส่งเสริมการสร้างหลักฐาน
(Evidence)
ที่น่าเชื่อถือในด้านความปลอดภัยศักยภาพ และคุณภาพของการรักษาและผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ และจะให้ความมั่นใจว่าจะสามารถมีบริการที่มีคุณภาพ มีราคาที่เข้าถึงได้ให้แก่ประชาชน (รวมสมุนไพรด้วย) รวมทั้งจะส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ (ที่มีหลักฐานอ้างอิงได้จริง) โดยผู้ให้บริการและผู้มารับบริการและ จากการสำรวจขององค์การอนามัยโลกเองพบว่ามีการแพทย์ทางเลือก 5 เรื่องที่มีการใช้ประโยชน์ในโลกมากที่สุดคือ:-
1.การแพทย์พื้นบ้านของจีน
2.โฮมีโอพาธี
3.ไคโรแพรกติก
4.อายุรเวท
5.ยูนานิ ซึ่งก็เป็นเรื่องการแพทย์ทางเลือกลําดับแรกของการดําเนินงานโดยองค์การอนามัยโลก ณ ขณะนี้เอง
องค์การอนามัยโลกมีเอกสารรับรองอย่างเป็นทางการในการใช้ประโยชน์จากการฝังเข็ม และไคโรแพรกติกส่วนอีก 3 เรื่องนั้นกําลังอยู่ระหว่างดําเนินการ และจากข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการทราบว่า การบําบัดแบบโฮมีโอพาธี กําลังอยู่ระหว่างการสรุปผลและรอการประกาศอย่างเป็นทางการเพื่อ
การนําไปใช้ประโยชน์ต่อไปเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ จากรายงานสุขภาพทางเลือกของสํานักนโยบายและแผนสาธารณสุข(ตุลาคม 2540 ) กล่าวว่า กระแสความตื่นตัวเรื่องศาสตร์การแพทย์ทางเลือกในสังคมไทยนั้นเริ่มก่อตัวอย่างเด่นชัดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2530 โดยเริ่มต้นจากการนําสมุนไพรมาใช้ การรื้อฟื้นภูมิปัญญาการแพทย์แบบพื้นบ้าน ไปจนถึงการแสวงหารูปแบบ/วิธีการรักษาแบบต่าง ๆ จากต่างประเทศมาใช้กันอย่างหลากหลาย จนกระทั่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีการก่อตั้งกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกขึ้นในปี 2545 ตามกฎกระทรวงการแบ่งส่วนราชการกรมฯ ความจําเป็นของการแพทย์ทางเลือก
1.พัฒนาการของเทคโนโลยีอุสาหกรรมและเกษตรกรรม ก่อให้เกิดมลภาวะเป็นเหตุให้ร่างกายของเราเจ็บปุวยแต่โรคเรื้อรังเหล่านี้ยากที่จะรักษาหายได้ด้วยยาแผนปัจจุบันหากไม่มีการแพทย์ทางเลือกมาใช้ในการรักษาควบคู่กันไป
2.ความเครียดในการทํางานหรือการแข่งขันในสังคมทําให้มีอาการต่างๆที่การแพทย์ทั่วไปไม่สามารถสังเกตเห็นหรือไม่สามารถรักษาได้แต่การแพทย์ทางเลือกกลับมีบทบาทสําคัญในกรณีดังกล่าว
3.ยาทุกชนิด ไม่ว่าเป็นยาแผนโบราณสมุนไพร หรือยาแผนปัจจุบันของโลกตะวันตก
เมื่อใช้รักษาเป็นเวลานานก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญกับผลข้างเคียงไม่มากก็น้อย
แต่ก็เป็นโอกาสของการแพทย์ทางเลือกที่ได้แสดงศักยภาพในการรักษาอย่างไร้ผลทางลบ
4.สําหรับโรคเรื้อรังการรักษาด้วยยาบางทีก็แค่เพื่อยืดเวลาชีวิตหรือผ่อนคลายความเจ็บปวดอย่างชั่วคราวเท่านั้นโดยเชิงลึกแล้วอาจจะเป็นการให้เวลาเชื้อโรคในการระบาดอย่างช้าๆแต่ไม่อาจจะรักษาโรคได้จากต้นเหตุเลย (อย่างเช่นโรคความดันสูง โรคเบาหวาน
โรคนอนไม่หลับ โรคหายใจเฉียบพลัน และอาการปวดหัวเป็นต้น) และการใช้เป็นเวลานานยังทําให้เกิดดื้อยาในแง่นี้การแพทย์ทางเลือกก็จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
5.ที่ไม่เหมือนกับการแพทย์ทั่วไปก็คือการแพทย์ทางเลือกไม่จําเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญมา
รักษาและไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากแต่อาศัยเครื่องมืออุปกรณ์ที่ปฏิบัติใช้อย่างง่ายดาย
6.หากครอบครัวไหนมีผู้ปุวยก็ต้องเป็นการเพิ่มภาระแก่ครอบครัวนั้นไม่ว่าจะเป็นทางการ
งานหรือความรู้สึกก็ตามแต่ความประหยัดและความง่ายในการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกสามารถแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้
7.ความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ต้องการมีวิธีรักษาโรคที่เป็นธรรมชาติเช่นกันหากรักษาได้โดยไม่ต้องอาศัยการทานยาหรือฉีดยา ก็จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
8.การรักษาด้วยวิธีทางฟิสิกส์แทนที่จะเป็นวิธีเคมีก็เป็นแนวทางการพัฒนาและเป็นความฝันของมนุษย์เช่นกัน
9.การรักษาด้วยตัวเองเป็นข้อได้เปรียบอีกข้อหนึ่งของการแพทย์ทางเลือกเพราะผู้ป่วยเองจะมีโอกาสทําความเข้าใจกับต้นสายปลายเหตุของโรคโดยตรงรับรู้สถานการณ์ของการรักษา และสามารถปรับปรุงการรักษาจากประสบการณ์ของตนเองซึ่งดีกว่าและมีประสิทธิ ภาพสูงกว่าการรักษาด้วยคนอื่น จากเหตุผลดังกล่าวเรามองเห็นความกว้างขวาง ความจําเป็นและความง่ายของการใช้ประโยชน์การแพทย์ทางเลือกและอุปกรณ์การแพทย์ประเภทนี้จะกลายเป็นของประจ าบ้านที่ขาดไม่ได้ประโยชน์ที่การแพทย์ทางเลือกประโยชน์ที่การแพทย์ทางเลือกสร้างขึ้นให้แก่โลกมนุษย์ก็คือได้เสนอวิธีการรักษาที่ใช้ได้อย่างกว้างขวาง
ซึ่งเป็นวิธีที่รักษาด้วยพลังผสมหลายชนิดและอาศัยปฏิกิริยาของอวัยวะร่างกาย เซลล์
ตลอดจนกระทั่งยีนของมนุษย์โดยสร้างการรักษาดังกล่าวไว้อยู่บนพื้นฐานของเครื่องอุปกรณ์ที่มีความละเอียดอ่อนการรักษาด้วยวิธีนี้เป็นการควบคุมไม่ให้เชื้อโรคเกิดการกระจายและเปลี่ยนแปลงทางเคมีจนกว่าการทํางานของอวัยวะร่างกายคืนสู่สภาพเดิมดังนั้น
ความสําคัญของการแพทย์ทดแทนเหล่านี้ จึงเท่ากับการกินอาหารในชีวิตประจําวันคาดกันว่าในอนาคตอันใกล้อุปกรณ์การแพทย์ทดแทนจะมีอยู่ทั่วไปในครัวเรือนเช่นเดียวกับกล่อง
การแพทย์ฉุกเฉินในศตวรรษที่ผ่านมาในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเราหลีกไม่ได้ที่ต้องเจ็บไข้ได้ปุวยโดยการคุกคามของเชื้อโรค อย่างเช่นปวดหัวเจ็บกระเพาะ การย่อยอาหารไม่ปกติ เป็นหวัด ท้องเสียนอนไม่หลับและปวดกล้ามเนื้อเป็นต้น หากที่บ้านมีอุปกรณ์รักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกก็จะสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องไปลําบากกับการเดินทางหาหมอเลย
สถานการณ์การให้บริการในประเทศไทยจากรายงานการศึกษาของ สํานักนโยบายและแผนสาธารณสุข (ตุลาคม 2540) โดยทําการส่งแบบสอบถามไปยังหน่วยงานกรม กองทางวิชาการในส่วนกลาง และหน่วยงานส่วนภูมิภาคของกระทรวงสาธารณสุขที่คาดว่ากี่ยวข้อง จํานวน 253 หน่วยงาน เพื่อศึกษาผลการดําเนินงานด้านการแพทย์ทางเลือกจากหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว โดยให้นิยามความหมายของสุขภาพทางเลือกว่าเทคนิควิธีการทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักหรือยอมรับอย่างเป็นทางการโดยบุคลากรทางการแพทย์ในระบบการแพทย์กระแสหลัก หรือการแพทย์แผนปัจจุบัน กล่าวคือไม่ได้มีการสอนในโรง เรียนแพทย์ หรือไม่มีการจัดบริการในโรงพยาบาลหรือสถาบันการแพทย์แผนปัจจุบันเทค นิคเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีลักษณะ “ไม่กระท าต่อร่างกายอย่างรุนแรง” หรือ “ไม่ใช้เภสัชภัณฑ์ที่เป็นสารเคมี” และเป็นศาสตร์สุขภาพทางเลือกที่มาจากสังคมและวัฒนธรรมอื่นสามารถ สรุปผลได้ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงผลการสารวจการให้บริการการแพทย์ทางเลือกปี 2540
-สถานพยาบาล รพ.ที่ส่งแบบสอบถาม รพ.ที่ตอบแบบสอบถาม รพ.ที่ดำเนินงาน
1.โรงพยาบาลทั่วไป/ศูนย์ 93 53(56.33) 13(13.98)
2.สสจ. 76 36(47.37) 16(21.05)
3.กรมการแพทย์ 34 13(38.23) 9(26.47)
4.กรมสุขภาพจิต 19 10(52.63) 9(47.37)
5.กรมควบคุมโรค 15 9(66.67) 5(33.33)
6.กรมอนามัย 16 16 12(75.00) 7(43.75)
รวม 253 133(52.57) 59(23.32)
หมายเหตุ:-
ไม่รวมการให้บริการการแพทย์แผนไทยในการศึกษาและผู้สรุปนาเสนอข้อมูลภายใต้สมมุติฐานว่าผู้ที่ไม่ตอบแบบสอบถามถือว่าไม่มีการด าเนินงานด้านการแพทย์
ทางเลือกและจากการส ารวจและประเมินสถานการณ์การให้บริการการแพทย์ทางเลือกในโรงพยาบาลและสถานบริการสุขภาพ ปีงบประมาณ 2546 (ต.ค. 45–ส.ค. 46) ของกองการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒน์ฯ โดยส่งแบบสอบถามส ารวจและสุ่มเข้าเก็บข้อมูลบางแห่ง แบ่งตามเขตพบว่า จากการส่ง แบบสอบถามไปยังสถานพยาบาลทั้งสิ้น 1,092 แห่ง เป็นโรงพยาบาลทั่วไป/โรงพยาบาลศูนย์ จํานวน 92 แห่ง โรงพยาบาลชุมชน 720 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน 280 แห่ง
สรุปผลดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แสดงผลการสํารวจสถานการณ์การให้บริการด้านการแพทย์ทางเลือกปี 2546
สถานพยาบาล รพ.ที่ส่งแบบสอบถาม รพ.ที่ตอบแบบสอบถาม รพ.ที่มีการดําเนินงาน
โรงพยาบาลทั่วไป/ศูนย์ 92 63 (68.48) 48(52.17)
โรงพยาบาลชุมชน 720 202 (28.05) 59(8.19)
โรงพยาบาลเอกชน 280 112(40.00) 22(7.85)
รวม1092 377(34.52) 129(11.81)
หมายเหตุ:- ไม่รวมการให้บริการการแพทย์แผนไทยในการศึกษาและผู้สรุปนYาเสนอข้อมูลภายใต้
สมมุติฐานว่าผู้ที่ไม่ตอบแบบสอบถามถือว่าไม่มีการดําเนินงานด้านการแพทย์ทางเลือกโดยการแพทย์ทางเลือกที่มีการให้บริการมากที่สุดคือ คลินิกฝังเข็มมีจํานวน 85 แห่ง คิดเป็น 65.89%
ของจํานวนโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านการแพทย์ทางเลือก (129 แห่ง ) ส่วนการให้บริการอื่น ๆ เช่น การทําดุลยภาพบําบัด ชี่กง ดนตรีบําบัดในเด็กออทิสติก การฝึกสมาธิ วารีบําบัด การจัดโปรแกรม อาหารสุขภาพ ฯลฯ จากผลการศึกษาทั้งสองจะเห็นว่าในช่วงเวลาประมาณ 6 ปี (2540
-2545) โรงพยาบาลทั่วไป/ศูนย์ มีการดําเนินงานด้านการแพทย์ทางเลือกสูงขึ้นอย่างชัดเจนจาก ร้อยละ 13.98 เป็นร้อยละ 52.17 หรือคิดเพิ่มเป็นประมาณ 3.73 เท่า การใช้การแพทย์ทางเลือกในประเทศไทยศาสตร์การแพทย์ทางเลือกที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกมาใช้ในสังคมไทยพบว่ามีการทําวิจัยเชิงสํารวจในภาพกว้างของประชาชนที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 งานวิจัยดังนี้
1.จากรายงานสุขภาพทางเลือกของสํานักนโยบายและแผนสาธารณสุข (ตุลาคม 2540) เป็น
การสํารวจในภาพกว้างของประชาชน โดยศึกษาจากหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานเอกชนที่มีบทบาทการดําเนินงานด้านการแพทย์ทางเลือกถึงเทคนิคเฉพาะของศาสตร์สุขภาพทางเลือกที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกมาใช้ในกลุ่มเป้าหมาย แบ่งได้ 3 อันดับ ดังนี้
อันดับ 1
Massage, Exercise, Juice Therapy, Meditation, Relaxation, Yoga
อันดับ 2
Fasting, Lifestyle change, Natural food, Breathing pattern, Counseling,
Music Therapy, Herbals
อันดับ 3
Acupuncture, Colon Therapy, Detoxification, Nutritional Therapy,Nutrition supplement, Macrobiotic, Guide imaginary
หมายเหตุ:-
1. หมายถึงได้รับความนิยมสูงสุด และอันดับอื่น ๆ ได้รับความนิยมรองลงมาตามลําดับ
2.จากรายงานการวิจัย ของ สมพร เตรียมชัยศรี และคณะ เรื่อง การสํารวจข้อมูลและการดูแลสุขภาพทางเลือกในคนไทย ปี พ.ศ. 2543 เป็นการสํารวจตัวอย่างจํานวน 400 คน
ตอบแบบสอบ ถามทั้งหมด 357 คน (89.3%) โดยมีลักษณะดังนี้ เป็นหญิง 241 คน (68.3%) ชาย 112 คน ( 31.7%)
มีการศึกษาสูงกว่าอุดมศึกษา 268 คน (80%) ต่ำกว่าอุดมศึกษา 65 คน ( 20%)
มีวิธีการรักษาโรคดังนี้
-พบแพทย์แผนปัจจุบัน 222 คน คิดเป็น 62.1%
-ใช้แผนโบราณและแผนปัจจุบัน 85 คน คิดเป็น 23.8%
-ซื้อยาเอง 16 คน คิดเป็น 5.1%
-ใช้ยาแผนโบราณและยาสมุนไพร 10 คน คิดเป็น 3.2%
-ที่เหลือใช้วิธีอื่นๆจากการศึกษาสรุปได้ว่า ศาสตร์ที่คนไทยรู้จัก ให้ความศรัทธาและมีความนิยมใช้จํานวน 30 ศาสตร์ดังนี้
1.สมุนไพร
2.การนวด
3.สมาธิ
4.โยคะ
5.การนวดศีรษะ
6.รํามวยจีน
7.ไทเก็ก
8.พลังรังสีธรรม
9.สมาธิหมุน
10.ชีวจิต
11.พลังจักรวาล
12.โยเร
13.การฝังเข็ม
14.การฟังดนตรี
15.การสวดมนต์
16.ภาวนา
17.อบสมุนไพร
18.การใช้เครื่องหอม
19.ยาดม
20.การใช้วิตามิน
21.เกลือแร่ อาหารปลอดสารพิษ ดื่มน้ำผัก
22. ผลไม้ การสวนล้างพิษ
23.การดูหมอ
24.การรดน้ำมนต์
25.ศิลปะบําบัด การผ่อนคลายแบบ
Biofeedback
26การใช้คาถา เวทมนต์
27.การเพ่งโดย การใช้แสง สี เสียง
28.การเข้าทรงนั่งทางใน
29.การใช้เก้าอี้แม่เหล็กไฟฟูา
30.การใช้วิชาธรรมจักร
นอกจากนี้ยังมีการน าศาสตร์การแพทย์ทางเลือกรูปแบบต่าง ๆ ไปใช้ในกลุ่มผู้ปุวยเรื้อรังต่างๆ
ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ชัดเจนที่สุดคือ กลุ่มเพื่อนมะเร็งที่มีการนําเอาการแพทย์ทางเลือก
ทั้งในรูปแบบของอาหารสุขภาพ การนั่งสมาธิ การใช้หินบําบัด ฯลฯ มาใช้ร่วมด้วย สรุปในภาพรวม
จากรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (นับจากปี2540 ) เรื่องการแพทย์ทางเลือกมีอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และกําลังเป็นที่สนใจของประชาชนในสังคมเป็นอย่าง ยิ่ง ดังนั้น กองการแพทย์ทางเลือกจึงควรมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเร่งจัดการและทําการศึกษา
องค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแก่ประชาชนต่อไป
เว็บไซต์เกี่ยวกับแพทย์ทางเลือกให้เปิดขึ้นมาอ่านประกอบ
http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=110&Itemid=109
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81
http://www.thailabonline.com/altermedicine.htm
http://www.siamhealth.net/public_html/alter/index.htm#.Vj2oI17Fw89
https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20130403010408AAB8Poo
http://health.kapook.com/view31037.html
http://www.chi-exercise.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538604571
แพทย์ทางเลือก
สำนักการแพทย์ทางเลือก
ความหมายการแพทย์ทางเลือก - สำนักการแพทย์ทางเลือก
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
การแพทย์ทางเลือก | ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก - Facebook
หมอบรรจบ (แพทย์ทางเลือก) - Facebook
ฐานข้อมูลการแพทย์ทางเลือก
ฐานข้อมูลเอกสารวิชาการด้านการแพทย์ทางเลือก
ฐานข้อมูลงานวิจัยด้านการแพทย์ทางเลือก
แพทย์ทางเลือก วิถีธรรม
แพทย์ทางเลือก - โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
แพทย์ทางเลือก - ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก
คลินิกแพทย์ทางเลือก รพ.มหาราชนครราชสีมา - Facebook
วิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก
ศูนย์แพทย์ทางเลือก สร้างสุขภาพให้แข็งแรงด้วยธรรมชาติ
แพทย์ทางเลือกจาก Youtube
การแพทย์แผนปัจจุบัน vs. การแพทย์ทางเลือก - YouTube
ตัวอย่างการรักษาโรคโดยวิธีแพทย์ทางเลือก
๑.การรักษาโรคโดยการถ่ายโรคลงสู่รูปหุ่น
๒.การรักษากระดูกแตกหักโดยการเข้าเฝือกต้นไม้
๓.การรักษาโรคอาถรรถ์
๔.การรักษาโรคฝีในท้อง
๕.การรักษาโรคปวดหัวและการปวดหัวข้างเดียว
๖.การรักษาโรคปวดฝัน
คาถาป้องกันตัว
-ก่อนที่จะรักษาโรคทุกชนิดให้สวดคาถาป้องกันตัวเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้โรคภัยไขเจ็บและคุณไสย์ที่ออกจากตัวคนไข้แล้วกลับมาเข้าตัวเรา ผู้ทำการรักษาโรคด้วยวิธีแพทย์ทางเลือกนี้ถ้าไม่ป้องกันตัวจะมีอายุสั้น
คาถากันตัวและกันการกระทำ
๐อิตะกันนะ จิตตะกันนะ จิเจกันนะ รุนิกันนะ อุตตะกันนะ
อุอะกันนะ พุทธากันนะ ธัมมากันนะ สังฆากันนะ พุทปัดธัมปิด
สังมิดหุ้มตัว พระเจ้าอยู่หัว นโมพุทธายะ ฯ
คาถาสัมพุทเธหงสา
๐สัมพุทเธอัฏฐวีสัญจะ พุทโธเมอัมหากังปาการัง ทะวาทะสัญจะ สะหัสสะเก
ธัมโมเมอัมหากังปาการัง ปัญจะสะตะสะหัสสานิ สังโฆเมอัมหากังปาการัง
นะมามิสิระสาอะหัง สัพเพพุทธาชะนาจิตตัง เตสังธัมมัญจะสังฆัญจะ
สัพเพธัมมาชะนาจิตตัง อาทะเรนะนะมามิหัง สัพเพสังฆาชะนาจิตตัง
นะมะการานุภาเวนะ มะอะอุหันตะวา สัพเพอุปัททะเว อุอะมะอะเนกา
อันตะรายาปิ นะโมพุทธายะ วินัสสะตุ อะเสสะโต ยะธาพุทโมนะ ฯ
-คาถาสัมพุทเธหงสามีอานุภาพดังนี้:-
๑.ใช้ทำน้ำมนต์แก้เจ็บไข้ แก้ถูกกระทำด้วยคุณไสย์คุณผีคุณคน แก้ถูกลมเพลมพัด แก้ถูกน้ำมันพรายและถูกคุณไสย์ทุกชนิด ถูกเสน่ห์ยาแฝด และใช้ปัดรังควานได้ทุกประการ แม้คนป่วยจะบ้าคลั่งก็ทำให้หายได้
๒.ต้นไม้ที่ปลูกแล้วไม่มีผลให้ทำน้ำมนต์ด้วยคาถานี้รดก็จะมีผลขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
๓.ถ้าจะเสดาะลูกในท้องให้ออกมาให้เอาคาถานี้เสกน้ำทำเป็นน้ำมนต์มนต์ ๕ จบแล้วให้คนมีท้องกิน ลูกก็จะออกมาอย่างง่ายดาย
๔.ถ้าถูกงูกัด ตะขาบกัด แมลงป่องต่อย และพิษสัตว์ร้ายทั้งปวง ให้เสกน้ำทำน้ำมนต์ ๗ จบ ให้คนป่วยกินพิษทั้งหลายก็จะหายไปหมดสิ้น ถ้าคนป่วยสลบไปเพราะพิษสัตว์ให้เอามืองัดปากออกแล้วกรอกน้ำมนต์นี้เข้าไปคนป่วยก็จะสามารถกลับฟื้นขึ้นมาได้
-คาถาทั้ง ๒ บทนี้ให้สวดทั้งเช้าและเย็น
เวลาจะรักษาโรคหรือนวดให้ใครให้สวดคาถานี้ ๗ จบ ก่อน
คาถากันทุกอย่าง
๐กันนะ กันนา กันนิ กันนี
กันนุ กันนู กันนุง กันใน
กันใน กันนัง กันนะ ฯ
-ก่อนจะเรียนเอาให้ยกครูวันอังคาร คายขัน ๕ เงิน ๑ สลึง ใช้เสก ๗ จบ กันได้ทุกชนิด
การรักษาโรคโดยวิธีการถ่ายโรคลงสู่รูปหุ่น
-วิธีการรักษา:- ให้คนป่วยไปเอาดินเหนียวที่ท่าน้ำ ผู้ชายให้เอาดินเหนียวที่รอยเท้าข้างขวา ๗ กำมือ ผู้หญิงให้เอาดินเหนียวที่รอยเท้าข้างซ้าย ๗ กำมือ ก่อนจะเอาดินนั้นให้
กล่าวคำขอจากเจ้าแม่ธรณีเสียก่อนให้ว่าดังนี้
"แม่พระธรณีเจ้าเอ๋ย ลูกมาขอเอาดินเหนียวจากพระแม่ธรณีไปปั้นเป็นรูปหุ่นรักษาโรคที่กำลังเป็นอยู่" แม่พระธรณีถามว่า"เจ้าเป็นโรคอะไรหรือ?" เราก็ตอบเองว่า "ลูกป่วยเป็นโรค...............(โรคอะไรก็ให้ใส่ลงไป) " พระแม่พระธรณีก็ตอบว่า "เออเอาไปเถอะ จงเอาไปตามความพอใจของเจ้าเถอะนะ"
หลังจากนั้นก็ให้รีบเอาตามที่เราต้องการ
อนี่งถ้าหาดินเหนียวตามท่าน้ำไม่ได้ ให้เอาดินของจอมปวกก็ใช้ได้เหมือนกันให้เอาเพียง ๗ กำมือเท่านั้น ก่อนจะเอาให้กลั้นใจว่า "พุทโธ กำจัดโรค ธัมโม กำจัดโรค สังโฆ กำจัดโรค"
เมื่อได้ดินเหนียวมาแล้วก็ให้ปั้นเป็นรูปหุ่นยาวประมาณ ๑ คืบ ๓ นิ้ว ถ้าผู้ป่วยเป็นชาย ก็ใหปั้นเป็นรูปหุ่นผู้ชาย ถ้าผู้ป่วยเป็นหญิงก็ให้ปั้นเป็นรูปหุ่นผู้หญิง ให้ปั้นเป็นท่านอนหงายเสร็จแล้วให้เขียนยันต์หัวใจพระเคราะห์ตามวันเกิดของคนป่วย เขียนชื่อนามสกุลและวันเดือนปีเกิดของคนป่วยไว้ตรงกลางยันต์ ถ้าหากจำวันเกิดไม่ได้ก็ไม่ต้องเขียนรูปยันต์ จงใช้กระดาษว่าวเขียนชื่อนามสกุลและวันเดือนปีเกิดยัดใส่ไว้ตรงหน้าอกของรูปหุ่นนั้น ก่อนจะปั้นเป็นรูปหุ่นให้แบ่งดินออกเป็น ๓๒ ก้อน แล้วเขียน อักขระอาการ ๓๒ ลงไปที่ก้อนดินแต่ละก้อนเริ่มตั้งแต่ เกสา จนถึง มุตตํ เสร็จแล้วให้เสกดินที่จะปั้นเป็นรูปหุ่นนั้นด้วยอาการ ๓๒ คือ:-
๐เ
ก
สา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
มังสัง นะหารู อฏฺฐิ อัฏฐิมิญชัง วักกัง
หะทะยัง ยะกะนัง กิโลมะกัง ปิหะกัง ปัปผาสัง
อันตัง อันตะคุณัง อุทะริยัง กะรีสัง มัตถะลุงคัง
ปิตตัง เสมหัง ปัพโพ โลหิตัง เสโท
เมโท อัสสุ วะสา เขโฬ สังคะณิกา
ละสิกา มัตตัง ฯ
เมื่อปั้นรูปหุ่นเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ปลุกเสกรูปหุ่นนั้นด้วยคาถาตั้งธาตุและคาถาชุมนุมธาตุดังนี้
-อเหิปฐวีพรฺหมา เอหิวาโยอินฺทรา เอหิเตโชนาราย เอหิอาโปอิสฺรา ฯ
-นะอิเพชรคง อะระหัง สุคะโต ภะคะวา โมติพุทธะสัง อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
พุทธะปิอิสะวาสุ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา ธาโสมะอะอุ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
ยะภะอุอะมะ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา ฯ
-นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะพะกะสะ
นะโมพุทธายะ มะพะทะนะ ภะกะสะจะ
นะโมพุทธายะ พะทะนะมะ กะสะจะภะ
นะโมพุทธายะ ทะนะมะพะ สะจะภะกะ ฯ
ให้ปลุกเสก ๗ จบ ต่อจากนั้นก็ปลุกเสกด้วยอาการ ๓๒ อีก ๗ จบ สุดท้ายก็ให้ปลุกเสกรูปหุ่นนั้นด้วยปัญจขันธ์คือ
-ปัญจักขันธา รูปักขันโธ เวทนากขันโธ
-สัญญากขันโธ สังขารากขันโธ วิญญาณักขันโธ ฯ
ปลุกเสก ๗ จบ และให้ปลุกเสกรูปหุ่นนั้นอีกด้วยคาถานี้
-โอม เกเรมหาเกเร เกเรเมเถ กะระมะถะ กิริมิถิ ฯ
ปลุกเสก ๗ จบ
หลังจากนั้นให้คนป่วยมานั่งใกล้ๆรูปหุ่น แล้วเอาลวดทองแดงอ่อนๆที่เป็นสายไฟฟ้า ส้นหนึ่งให้เอาจี้ไว้ตรงที่เจ็บอีกส้นหนึ่งให้เสียบไว้ที่รูปหุ่นตรงที่บาดเจ็บ ต่อจากนั้นให้หมอที่รักษาสวดคาถาขับไล่โรคเข้าสู่รูปหุ่นว่าดังนี้
-สะมุหะติ สะมุหะตา สะมุหะนายะ สังโฆอิมัง เอสายะติ เสนายะติ
ตังสิมัง สะมุหะคะตา ตังสีมัง สะมุหะติ อุโปสะถัง วิเนยยะ
สะมุหะติ สะมุหะตา สะมุหะนายะ สังโฆอิมัง เอสายะติ เสมายะติ ฯ
-อิติปิโส ภะคะวา เวสสุวัณโณ นะโมพุทธายะ
นะขับโมไล่ พุทธังขับ ธัมมังขับ สังฆังขับ
พุทธะอิติ สะมุหะนะติ สะมุหะนะตา สะมุหะเสนา
สะมุหะเนยยะ สะมุหะคะโต ปัฐวี เตโช วาโย อาโปธาตุ สะวาหะ สะวาหายะ ฯ
ให้สวดขับไล่ ๓ จบ เสร็จแล้วให้สวดคาถามหาสูญเพื่อขับไล่โรคภัยไข้เจ็บที่ยังค้างอยู่
ในร่างกายให้สูยหายไปจนหมดสิ้น คาถาว่าดังนี้
-นะพุทธะสูญ...... (โรคอะไรก็ใส่เข้าไป)...ร้ายของนายหรือนาง, นางสาว(ชื่อและนามสกุลของผู้ป่วย).....ทั้งมวลจงสูญไปด้วยนะ
-โมพุทธะสูญ...(ชื่อโรค)...ร้ายของ...(ชื่อและสกุลผู้ป่วย)...ทั้งมวลจงสูญไปด้วยโม
-พุทพุทธะสูญ...(ชื่อโรค)....ร้ายของ...(ชื่อละนามสกุลผู้ป่วย)...ทั้งมวลจงสูญไปด้วยพุท
-ธาพุทธะสูญ....(ชื่อโรค)...ร้ายของ...(ชื่อและนามสกุลผู้ป่วย)...ทั้งมวลจงสูญไปด้วยธา
-ยะพุทธะสูญ...(ชื่อโรค)...ร้ายของ...(ชื่อและนามสกุลผู้ป่วย)...ทั้งมวลจงสูญไปด้วยยะ
-นะสูญ โมสูญ พุทสูญ ธาสูญ ยะสูญ
-มะสูญ อะสูญ อุสูญ เทพสูญ อะนัตตาสูญ...(ชื่อโรค)...ร้ายของ...(ชื่อและนามสกุลผู้ป่วย)...ทั้งมวลจงสูญสิ้นไปด้วย นะโมพุทธายะ ฯ
ให้สวดขับไล่ ๓ จบ
เมื่อขับไล่โรคร้ายจากคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ปลุกเสกกำไลเงินและกำไลตะกั่วด้วยคาถานี้ว่า
-โอม ตุ ธะ มุ นิ ฯ
สวด ๓ จบ ใช้พ่นความเจ็บไข้ทั้งปวงก็ได้
-และคาถา ๑๐๘ กันคือ
-เอกะนามะกัน สัพเพสัตตา อาหารัฏฐิติกา เทวะนามะกัน นามัญจะ รูปัญจะ ตีณินามะกัน เวทะนา จัตตารินามะกัน จัตตาริ อะริยะสัจจานิ ปัญจะนามะกัน ปัญจุปาทานักขันธา ฉะนามะกัน ฉะอัชฌัตติกานิ อายะตะนานิ สัตตะนามะกัน สัตตะโพชฌังคา อัฏฐะนามะกัน อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค นะวะนามะกัน นะวะสัตตาวาสา ทะสะนามะกัน ทะสะอังเคหิ สะมันนาคะโต อะระหาติ วุจจะตีติ ฯ
สวด ๓ จบแล้วเป่าลงไปที่กำไลทั้ง ๒ เสร็จแล้วให้ผู้ป่วยสวมใส่กำไลเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกลับเข้ามาอีก
-ขั้นตอนต่อไปให้เอาคาถานี้คือ "นะอยู่ โมอยู่ พระเจ้าสั่งกูให้มึงอยู่ที่นี่" เสกปูนขาว ๗ จบ แล้วเอาปูนขาวที่เสกแล้วไปวงไว้เป็นวงกลมตรงที่เป็นโรคเช่น ถ้าเป็นโรคตับก็วงไว้ที่ตับ ถ้าเป็นโรคท้องก็จงวงไว้ที่ท้อง เจ็บตรงไหนก็ให้วงไว้ตรงนั้น ในขณะที่วงก็ให้บริกรรมคาถานี้ไปด้วย
ขั้นตอนที่ ๑ รักษาโรคโดยใช้หนามแทง
-ขั้นตอนในการรักษาให้เอาหนามแทงลงไปตรงที่วงกลมเอาไว้แทงจนปรุ ก่อนจะรักษาให้เอาคาถานี้คือ "อะ ตุ เต สะ ระ เร สะ ระ หิ เต" ปลุกเสกหนาม ๗ จบเสียก่อนจึงเอาหนามที่ปลุกเสกแล้วแทงลงไปที่รูปหุ่นตรงที่วงกลมเอาไว้นั้นแทงจนปรุ ในขณะที่แทงให้บริกรรมคาถานี้ไปด้วย
-หนามที่ใช้มี ๒ ชนิด คือ:-
๑.หนามของมะนาว
๒.หนามของมะตูม
-ถ้าเป็นโรคฟกบวมตรงแขนและขา, มือและเท้า, หรือที่อวัยวะส่วนใดๆก็ตามให้เอาหนามแทงที่รูปหุ่นตรงที่เจ็บป่วยนั้นให้แทงจนปรุหรือพรุนไปเลย ในขณะที่แทงอยู่นั้นให้บริกรรมนี้ไปด้วย ต่อจากนั้นให้ปลุกเสกมีดด้วยคาถานี้ แล้วเอามีดที่ปลุกเสกแล้วเกลื่อนไปมาตรงที่หนามแทงแล้วนั้น
-สามารถรักษาได้ทั้ง ฟกบวม เมื่อยขบ เคล็ดขัดยอก ลมเพลมพัดที่ทำให้ฟกบวมทุกชนิด แม้โรคฝีในท้องก็ยังรักษาได้ โรคต่างๆที่โรงพยาบาลรักษาไม่ได้ให้ลองรักษาดู
ขั้นตอนที่ ๒ รักษาโรคโดยวิธีย่างรูปหุ่น
-ถ้ารักษาโรคโดยวิธีย่างหุ่นให้ปฏิบัติดังนี้
-ให้เอารูปหุ่นที่ทำพิธีเสร็จแล้วมาย่างไฟ ไฟที่จะย่างต้องให้เป็นไฟร้อนๆ ย่างไปเรื่อยๆจนกว่าโรคจะตายหมดในขณะที่ทำการย่างให้บริกรรมคาถานี้ไปด้วยว่า
"อะระหังพุทธังรักษา อะระหังธัมมังรักษา อะระหังสังฆังรักษา"
ขั้นตอนที่ ๓ รักษาโรคด้วยการผ่าตัด
-วิธีรักษา:- เมื่อรักษาโรคโดยวิธีที่ ๑, ที่ ๒ ยังไม่หายให้ใช้วิธีผ่าตัดโรค ให้หามีดหมอของหลวงพ่อเดิมมาหนึ่งเล่มแล้วปลุกเสกมีดด้วยคาถานี้ว่า "จะฉะ ฉินทะติ ภินทะติ" เสก
๗ จบ เสร็จแล้วเอาปลายมีดจ่อลงไปตรงที่เจ็บให้บริกรรมคาถานี้ในใจ ๓ จบ แล้วจึงลากมีดผ่าตัดโรคตรงที่เจ็บปวดไปมาสักประเดี๋ยว ผ่าตัดนี้ให้ผ่าตัดที่คนป่วยไม่ใช่ผ่าตัดที่รูปหุ่นและในขณะผ่าตัดให้บริกรรมคาถานี้ไปด้วยเสมออย่าได้ลืมโดยเด็ดขาด
-การผ่าตัดนี้ผ่าตัดโรคได้ทุกชนิดเช่น:- ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในร่างกายทุกชนิด, คนที่เป็นฝีในท้องและฝีภายนอกทั่วร่างกาย, ถูกคุณไสย์ผ่าตัดได้หมด
-เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วให้ใช้คาถานี้คือ "สุสุ ระระ ทาทา อะอะ สะสะ โสโส โนโน โร
อัสสะ" ปลุกเสกหินอ่อน ๗ จบแช่น้ำเย็นให้คนไข้ดื่มกินโรคภัยไข้เจ็บจะหายไปหมดสิ้น
-ต่อจากนั้นให้ใช้คาถานี้คือ:-
"นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ มะอะอุ อุอะมะ ปาสุอุชา
นะมะพะทะ ปาริวาสัง นิกขิปามิ วัตตัง นิกขิปามิ
ปะติรูปัง ปัญจักขาติ เต อะระหัง ฯ เสกข้าว ๗ จบ, เสกของกิน ๗ จบ ให้คนป่วยกิน โรคภัยไข้เจ็บทั้งมวลจะหายไปจนหมดสิ้น
พิธีกรรมก่อนจะทำการรักษาโรค
๑.ให้ตรวจดูดวงชะตาของคนป่วยก่อนว่าปีนั้นดาวพระเคราะห์ตัวไหนเข้าเสวยอายุ ให้ทำ
พิธีเสดาะพระเคราะห์ให้คนป่วยก่อน คนป่วยทุกคนจะต้องมีเคราะห์ด้วยกันทั้งนั้น
๒.ให้ตรวจดูธาตุของคนป่วยก่อนว่าธาตุใดขาดไปบางจะได้สะดวกในการรักษา
-วิธีตรวจดูธาตุในร่างกายมีดังนี้
๑.ให้เอา วัน เดือน ปี เกิดของคนป่วยบวกกัน ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่ให้เอา อายุ ปัจจุบันบวก ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่ให้เอา ๙ บวก ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่ให้เอา ๓ คูณ ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่ให้เอาไปตั้งเป็นเลข ๔ ฐาน เช่น:- นายจำเริญ บุญยิ่ง เกิดวันที่ ๑๗
เมษายน พ.ศ.๒๕๓๕ ปีวอก ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕
วัน + เดือน + ปี + อายุปัจจุบัน + ๙ x ๓
-๖+๕+๙ = ๒๐
-๒๐+๒๓ = ๔๓
-๔๓+๙ = ๕๒
-๕๒ x ๓ = ๑๕๖
เอาเลขกำลังธาตุบวก
-ธาตุดิน กำลัง = ๒๑
-ธาตุน้ำ ,, = ๑๒
-ธาตุลม ,, = ๖
-ธาตุไฟ ,, = ๔
ฐานที่ ๑ คือธาตุดิน ๑๕๖ + ๒๑ = ๑๗๗
ฐานที่ ๒ คือธาตุน้ำ ๑๕๖ + ๑๒ = ๑๖๘
ฐานที่ ๓ คือธาตุลม ๑๕๖ + ๖ = ๑๖๒
ฐานที่ ๔ คือธาตุไฟ ๑๕๖ + ๔ = ๑๖๐
เอาเลข ๔ มาหารเหลือเศษเท่าไหร่ เลขเศษก็เป็นเลขธาตุที่ขาดหายไป เช่น:-
ธาตุดิน ๑๗๗
ธาตุน้ำ ๑๖๘
ธาตุลม ๑๖๒
ธาตุไฟ ๑๖๐
๑๗๗ % ๔ เหลือเศษ ๑ ธาตุดินจึงขาดไป ๓
๑๖๘ % ๔ เหลือเศษ ๐ ธาตุน้ำจึงขาดไป ๔
๑๖๒ % ๔ เหลือเศษ ๒ ธาตุลมจึงขาดไป ๒
๑๖๐ % ๔ เหลือเศษ ๐ ธาตุไฟจึงขาดไป ๔
**หมายเหตุ:-
ถ้าเลขธาตุตัวไหนเท่ากับเลข ๔ เลขธาตุตัวนั้นจึงสมบูรณ์ไม่ขาด
ยาสมุนไพรประจำธาตุ
-ธาตุดิน สมุนไพรประจำธาตุคือ ดีปลี
-ธาตุน้ำ ,, ,, สะค้าน
-ธาตุลม ,, ,, ชะพลู
-ธาตุไฟ ,, ,, เจ็ตมูลเพลิง
-อากาศธาตุ ,, ,, ขิงแห้ง
เวลาจะปรุงยาให้แทรกอากาศธาตุคือขิงแห้งเข้ามาตลอดจะขาดเสียมิได้ ให้เพิ่มเติมเข้ามาเท่ากับธาตุทั้ง ๔ ที่ขาดหายไป เช่น:-
ยาบำรุงธาตุของนายจำเริญจะต้องเพิ่มตัวยาดังนี้
-ธาตุดินขาดหายไป ๓
-ธาตุน้ำขาดหายไป ๔
-ธาตุลมขาดหายไป ๒
-ธาตุไฟขาดหายไป ๔
-เพราะฉะนั้นอากาศธาตุจึงต้องเพิ่มขิงแห้งเข้าเท่ากับ ๑๓ บาท
สูตรยาบำรุงธาตุของนายจำเริญ
-ดีปลี หนัก ๓ บาท
-สะค้าน ,, ๔ ,,
-ชะพลู ,, ๒ ,,
-เจ็ตมูลเพลิง ,, ๔ ,,
-ขิงแห้ง ,, ๑๓ ,,
๓.ให้ตรวจดูอาการของคนไข้ก่อนว่าจะรักษาได้หรือไม่โดยการใช้หลักการตรวจดังนี้
๑.ให้เอาอายุปัจจุบันของคนป่วยตั้ง
๒.เอา ๙ คูณ
๓.เอา ๗ หาร
เหลือเศษเท่าไหร่ให้พยากรณ์ตามเศษดังนี้
-ถ้าเหลือเศษ ๗ และ ๐ ทายว่าผู้ป่วยเป็นไข้หนัก รักษาไม่หายตายแน่
-ถ้าเหลือเศษ ๑, ๒, ๓ ทายว่า ยังไม่ตายยังมีทางพอรักษาได้
-ถ้าเหลือเศษ ๔ ทายว่า เป็นโรคประจำตัวคือโรคกรรมรักษายาก
-ถ้าเหลือเศษ ๕ ทายว่า เป็นโรคชราไม่มีอะไรมาก
-ถ้าเหลือเศษ ๖ ทายว่า ระวังกินยาผิดหมอให้โทษ
๔.เมื่อรู้ว่าคนป่วยสามารถรักษาได้ให้ทำการเสี่ยงทายโรคก่อนด้วยคาถานี้
-อิทา โส โม โห ยะ ทะ อุ ปะ วา ตะ โย ฯ
-วิธีปฏิบัติให้เอาเหล้าขาวมาหนึ่งจอกอย่าให้ใหญ่นักใส่เหล้าครึ่งแก้ว แล้วเอาใบพลูปิดปากจอกแก้วไว้แล้วนำไปวางไว้ไปวางไว้ตรงสะดือคนไข้ จุดเทียนนั่งบริกรรมด้วยคาถานี้ ๓ จบเสร็จแล้วให้เอาเหล้านั้นมาชิมดูและให้พิจารณาดูตามอาการดังนี้
-ถ้าผู้ป่วยถูกคุณคนคุณไสย์เหล้านั้นจะมีรสฝาด
-ถ้าผู้ป่วยถูกผีปอบเข้าเหล้านั้นจะมีรสขม
-ถ้าผู้ป่วยถูกผีบ้านผีเรือนทำเอาเหล้านั้นจะมีรสเปรี้ยว
-ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคท้องรสเหล้านั้นจะคงเดิม
การรักษากระดูกแตกหักโดยการเข้าเฝือกต้นไม้
-วิธีรักษากระดูกแตกหักโดยการเข้าเฝือกต้นไม้มีหลักในการปฏิบัติดังนี้
-คาถาเข้าเฝือกต้นไม้แทนคนคือ:-
-เถโร อันตรทายิตฺวา ภูมิยัง สุขุมัง ปรมาณู ภควโต โจรทารยโต โมทันโต
ติตตีติวังขโต ฯ ให้เอาคาถานี้ปลุกเสกน้ำมันงาดิบเสร็จแล้วให้ไปหาต้นไม้ต้นอะไรก็ได้แต่อย่าใหญ่นัก ให้นั่งบริกรรมด้วยคาถานี้แล้วทุบต้นไม้ที่เราสมมุตืให้เป็นคนป่วยทุบให้แหลก
เมื่อทุบไปทั่วแล้วให้เอาน้ำมันงาที่ปลุกเสกแล้วนั้นมาชโลมทาให้ทั่วตรงบริเวนที่ทุบแล้วนั้น ต่อจากนั้นก็เอาเฝือกที่ทำไว้แล้วเข้าเฝือกต้นไม้แทนแขนขาหรืออวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกาย แต่มีข้อแม้ว่าเฝือกที่จะเข้านั้นต้องให้คนป่วยถักทำมาเอง ถักให้เป็น ๓ เปราะโดยมีซี่ ๓๓ ซี่ ถ้าเป็นสัตว์ให้เอาต้นตะไคร้ ๓๓ ต้นมาทำเป็นซี่เฝือก
ถ้าเป็นคนให้ปล่อยทิ้งไว้ ๓ วันจึงเอาเฝือกออกได้ แต่ถ้าเป็นสัตว์ให้ปล่อยทิ้งไว้ ๗ วันจึงเอาเฝือกออก
วิธีปฏิบัติในการรักษา:-
-ถ้าซี่โครงและไหปลาร้าแตกหักให้เรียกค่ายกครูในการรักษา ๖ บาท
-ถ้าแขนขาแตกหักให้เรียกค่ายกครู ๖ สลึง พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน
การรักษากระดูกแตกหักโดยการสับกระดูกและจัดกระดูก
คาถาสับกระดูกและจัดกระดูกมีดังนี้
-นโม ภควโต จัตตาโร ปัตโต ปัตเต ภันเหเตสัง ปาสาทลักคนัตถายะ เอโก ปัตโต
อธิฏฐาหิ นโมพุทธายะ ติดประชิด ประชิด ชน ชน สวาหะ สวาหายะ ฯ
-กรรมวิธีในการรักษา:-
-ให้คนป่วยหรือสัตว์ที่ป่วย นั่งหรือนอนบนกระดานแผ่นเดียวกันกับหมอที่รักษา
-ให้หาไม้สักมาหนึ่งท่อนขนาดพอเหมาะแต่อย่าให้ใหญ่นัก ให้ใช้มีดเกลาท่อนไม้นี้โดยการบริกรรมคาถานี้ไปด้วยจนกว่าจะเกลาเสร็จ แล้วให้เก็บเอาสะเก็ดไม้ที่เกลานั้นใส่ลงไปในขวดน้ำมันงาดิบแล้วให้ปลุกเสกน้ำมันงาด้วยคาถานี้ ๗ จบคือ:-
-พุทเธ ประสานนา ธัมเม ประสานนา สังเฆ ประสานนา
-พุทเธ สักกวา ธัมเม สักกวา สังเฆ สักกวา ฯ
เมื่อปลุกเสกน้ำมันงาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เอาน้ำมันงามาทาตรงที่กระดูกแตกหักนั้น
เวลาทาให้บริกรรมคาถาบทแรกคือ นโม ฯลฯ สวหายะ ไปด้วยเพื่อทำการจัดกระดูกที่แตกหักให้ดีเหมือนเดิม
-ค่ายกครูในการรักษา: ค่าขันข้าว ๑ สลึง เทียนหนัก ๑ บาท พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน
การรักษากระดูกแตกหักโดยการประสานกระดูก
-กรรมวิธีในการรักษา:-
๑.ให้เอาคาถานี้เสกน้ำอุ่นค่อนข้างร้อนคือ:-
-อมเอ็นหดเอ็นหู่ เอ็นคู้กระดูกแตก เป็นพัทธุลี พระฤาษีท่านมาประสาน
พระพรหมท่านมาประสาน พระเพชรฉลูกรรม์ ประสิทธิเม ฯ เสก ๗ จบ
๒.ให้เอาน้ำที่ปลุกเสกแล้วนั้นมาพ่นตรงที่กระดูดแตกหักนั้นและประพรมหรือประคบตรงที่กระดูกแตกหักไปด้วย
๓.ต่อจากนั้นให้เข้าเฝือกตรงที่แตกหักนั้นเสีย แล้วเอาคาถานี้เสกน้ำร้อนพอทนได้พ่นพรมตรงที่เฝือกจนกว่าจะหาย ในขณะที่รักษาให้ต้มยาสมุนไพรนี้ให้คนป่วยกินรักษาไปด้วย คือ:-
๑.ไพลแก่ หนัก ๙ บาท
๒.ผักหูปลาช่อน ,, ๙ ,,
๓.หญ้าเกล็ดหอย ,, ๙ ,,
๔.น้ำนมราชสีห์ ,, ๙ ,,
๕.ยาข้าวเย็น ๓ แว่น
-วิธีรับประทาน:- ให้ต้มยานี้รับประทาน เช้า ๑ แก้ว เย็น ๑ แก้ว ก่อนเข้านอน
-สรรพคุณ:- ยาสมุนไพรขนานนี้สามารถรักษาโรคกระดูกแตกหัก เส้นเอ็นฟกช้ำภายใน เคล็ดขัดยอกก็รักษาได้
๔.คาถาประสานภายใน คือ:-
-พุทธัง สรณัง มังสัง ธัมมัง สรณัง นหารู สังฆัง สรณัง อัฏฐิ
เอหิยัตตะ เอหิเกโก ปัตโตยัตถา ฯ ให้ใช้คาถาเสกน้ำต้มต้นปลีกแมลงสาบให้คนป่วยกินเพื่อประสานภายใน
๕.คาถาประสานภายนอก คือ:-
-จัตตาโร ปัตเต ยถา เอโก ปัตโต ตถา อธิฏฐาหิ ฯ
-คาถานี้พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้ประสานบาตรที่แตกออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ให้กลับมารวมเป็นชิ้นเดียวกัน
-สรรพคุณ:-
๑.ใช้ประสานกระดูกที่แตกหัก
๒.ใช้ปัดฟกช้ำดำเขียว
๓.ใช้ประสานบาดแผลที่ถูกอันตรายต่างๆ
๔.ใช้เสกน้ำมันงาดิบทาประสานบาดแผล
๕.ใช้น้ำลายที่บริกรรมด้วยคาถานี้แล้วทาประสานบาดแผลก็ได้
๖.ให้เพ่งดูก้อนเมฆที่เกลื่อนกล่นในท้องฟ้าแล้วเอามือกุมปิดแผลไว้และหน่วงจิตบริกรรมจนก้อนเมฆเคลื่อนเข้าติดกันสนิทแล้วจึงเป่าลงไปที่บาดแผลนั้น แล้วให้เอามือออก
บาดแผลก็จะติดกันดังเดิม
-ถ้าจะประสานกระดูกก็ให้ทำดุจเดียวกัน ท่านเรียกวิธีว่าการประสานเมฆหรือประสานน้ำ ถ้าเป็นบาดแผลทั้งตัวก็ประสานได้ ใช้เสกน้ำทาประสานก็ได้ ถ้าใช้ว่านจดประสานด้วยจะดีมาก
คาถามหาโมคคัลลานะต่อกระดูก
-เถโร มหาโมคคัลลาโน อันตรายิตฺวา ภูมิยัง สุขุมัง ปรมาโณ ภควโต
อัตถิยา อัตตโน สริเร มังสัง มังสัง โลหิตัง จักขุ อวสุสตุ อวสุสเต สริมังสัง ฯ
-กรรมวิธีในการรักษา:-
-ใช้ปลุกเสกน้ำมันงาดิบแล้วทาตรงกระดูกแตกหัก กระดูกจะติดกันดังเดิมใส่บาดแผลก็ได้
-คาถานี้ใช้เสกปูนทาเป่าและพ่นก็ได้ใช้ได้สารพัด
-ถ้าใช้ในการขัดเลือดให้สวด ๗ จบแล้วเป่าลงไปที่บาดแผลเลือดจะหยุดไหลทันที
-ถ้าเขียนคาถานี้ด้วยตะกั่วทำเป็นรูปยันต์แล้วเอาไปแช่น้ำมันงาไว้ให้ปลุกเสก ๓ วันด้วยคาถานี้วันละ ๑๐๘ จบ ใช้ทากระดูกที่แตกหักกระดูกจะติดกันทันที
คาถาขัดเลือด
-อวสุสตุ เต สริเร มังสัง โลหิตัง ฯ
-สรรพคุณ: ใช้ในการขัดเลือดให้หยุดไหล
คาถาประสาน
-นะมะพะทะ มอลอ ข้อไข ไขข้อ มอลอ ฯ
-สรรพคุณ: ใช้เสกน้ำมันงาดิบทาแก้เคล็ดขัดยอก, กระดูกแตกหัก, และใช้เสกในเวลา
เข้าเฝือกดีนักแล
-ค่ายกครูเงิน ๑ สลึง ดอกไม้ธูปเทียน ให้ยกครูวันอังคาร
คาถาดับพิษไข้
-อมอัคคี คงคานัง ระงับดับหาย สวาหะ ฯ
-คาถานี้ใช้ในการดับพิษไข้โดยการเสกเป่าลงไปที่ตัวคนไข้ หรือ ใช้เสกน้ำพ่นที่ตัวคนไข้ก็ได้ดีนักแล
มนต์ประสาน
-โอมนะ เนื้อมันพัง เอาหนังเขามาต่อ เอาข้อเขามาติด โอมสาระพิด สวาหับ สวาหาย ฯ
-ใช้ในการประสานและต่อกระดูกก็ได้
คาถานวดเส้น
-คาถานี้ใช้นวดเส้นเอ็นและความเจ็บปวดในร่างกายทุกชนิด
-คาถาบทนี้ใช้นวดให้แก่ตนเอง
๐โอม ลมเตสะมะปิ สัมปิละยานยานหย่อนกระดูกเส้นเอ็น ฯ
-คาถาบทนี้ใช้นวดให้แก่ผู้อื่น
๐โอม ลมเตสะมะปิ เตปิสิละยานยานหย่อนกระดูกเส้นเอ็น ฯ ในขณะที่นวดให้บริกรรมคาถานี้ในใจไปเรื่อยๆ
-วิธีนวด:-
๑.เครื่องอุปกรณ์ในการนวด ให้ใช้ด้ามพร้า, ผ้าที่ควั่นเป็นเกลียว, หรือใช้แร่เฮมาไท
ที่ทำเป็นก้อนกลมๆปลายแหลมๆ
๒.การนวดให้นวดไปทั่วเส้น จะสามารถคลายเส้นไปได้ทุกเส้น ถ้าที่ใดนวดไปแล้วมันเกิดกระตุกมือที่ตรงนั้นมันเป็นพิษ ต้องนวดคลายตรงนั้นให้หายกระตุกก่อนจึงจะผ่านไปได้ ถ้าไม่หายกระตุกห้ามผ่านไปโดยเด็ดขาด
๓.ถ้านวดให้ผู้อื่นให้ตั้งค่ายกครู ๑ เฟื้อง และขนมปลากริมไข่เต่า ๑ หม้อ
๔.ก่อนจะนวดให้เสกมือด้วยอาการ ๓๒ คือ:-
๐เ
ก
สา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
มังสัง นะหารู อฏฺฐิ อัฏฐิมิญชัง วักกัง
หะทะยัง ยะกะนัง กิโลมะกัง ปิหะกัง ปัปผาสัง
อันตัง อันตะคุณัง อุทะริยัง กะรีสัง มัตถะลุงคัง
ปิตตัง เสมหัง ปุพโพ โลหิตัง เสโท
เมโท อัสสุ วะสา เขโฬ สังคะณิกา
ละสิกา มัตตัง ฯ
ให้เสกจนรู้สึกมือร้อนจึงนวด
๕.มีสมุนไพรที่ใช้คู่กับการนวดคือ: สูตรน้ำมันแก้ปวดเทวดา
สูตรน้ำมันแก้ปวดเทวดา
๑.หัวไพลแก่ๆ หนัก ๓ ขีด
๒.น้ำมันงา ,, ๕๐๐ ซี.ซี.
๓.น้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็น หนัก ๕๐๐ ซี.ซี
๔.น้ำมันกานพลู หนัก ๒๕๐ ซี.ซี.
๕.น้ำมันเป๊ปเปอร์มินท์ หนัก ๔๕๐ ซี.ซี.
-วิธีปรุงยา:-
-ฝานหัวไพลออกเป็นชิ้นเล็กๆแล้วทอดด้วยน้ำมันงา เมื่อเห็นว่าเข้มข้นดีแล้วให้ยกลงจากเตาปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ต่อจากนั้นให้เอาน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็น, น้ำมันกานพลู,และน้ำมันเป๊ปเปอร์มินท์ เทผสมลงไปค้นให้มันเข้ากันให้จงดีเสร็จแล้วให้นำไปบรรจุขวดไว้เพื่อนำเอาไปใช้ต่อไป
-เพื่อเป็นการประหยัดในการปรุงเพื่อทำให้ต้นทุนในผลิตต่ำลงจะได้สอนวิธีทำน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็นให้
-สรรพคุณ:- ใช้นวดแก้ปวดได้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นปวดแข้งปวดขา, ปวดมือปวดเท้า
ปวดหลังปวดเอว ปวดหัวปวดตา ปวดเส้นเอ็นในร่างกายทุกชนิด
สูตรวิธีทำน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็น
๑.มะพร้าวที่คูดแล้ว หนัก ๒ ก.ก.
๒.น้ำอุ่น ๒ ลิตร
-วิธีทำ:- เอามะพร้าวใส่ลงไปในกะละมัง แล้วเอาน้ำอุ่นๆเทผสมลงไปคั้นเอาน้ำกระทิ ให้คั้นเอาน้ำเดียว คั้นเสร็จแล้วใช้ผ้าขาวที่สะอาดกรองให้ละเอียดแล้วนำเอาไปใส่ขวดโหลปากกว้างแล้วจึงนำเอาขวดโหลไปใส่ไว้ในกระติกน้ำแข็งที่ไม่มีน้ำแข็งแล้วจึงนำเอาไปตากแดดเอาไว้ ๒๔ ชั่วโมง เสร็จแล้วก็ให้นำเอาออกมาใช้โดยการดูตามชั้นของกระทิดังนี้
-ชั้นแรกจะเป็นโยเกิร์ต
-ชั้นกลางจะเป็นน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็น
-ชั้นล่างจะเป็นน้ำ
คาถาแก้สะบักจมและคอเคล็ด
๐ ปิ สะ ปิ ละ อะ อิ ฯ
-วิธีรักษา:- ถ้าหัวตกหมอนจะเกิดอาการคอเคล็ด ปวดคอเอี้ยวไปไหนไม่ได้ บางครั้งอาจจะปวดบ่าไหล่ไปด้วย หมอโบราณเรียกว่า "สะบักจม" ให้เอามือนวดตรงที่ปวดแล้วบริกรรมคือภาวนาคาถานี้ไปด้วย นวดไปบริกรรมไปเรื่อยๆ ถ้าจะหยุดนวดให้เป่าลงไปตรงที่ปวดนั้น ทำไปสักพักมันก็จะหยุดหายไปเอง